ทอมัส เกอร์ทิน

โธมัส เกอร์ทิน (ค.ศ. 1775–1802) เป็นจิตรกรสีน้ำและช่างแกะสลักชาวอังกฤษคนสำคัญ ซึ่งอาชีพการงานที่สั้นแต่รุ่งโรจน์ของเขาได้ยกระดับสถานะของจิตรกรรมสีน้ำขึ้นอย่างมาก ในฐานะที่เป็นคนร่วมสมัย เพื่อน และคู่แข่งของเจ.เอ็ม.ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์ ผู้โด่งดัง นวัตกรรมด้านเทคนิคและวิสัยทัศน์ของเกอร์ทินมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนสีน้ำจากรูปแบบศิลปะรอง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับการระบายสีภาพวาดภูมิประเทศ ให้กลายเป็นสื่อที่มีพลัง สามารถสร้างสรรค์ภาพทิวทัศน์ที่แสดงออกและมีบรรยากาศได้ การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเขาเมื่ออายุยี่สิบเจ็ดปีได้ตัดอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของเขาลง แต่ถึงกระนั้นอิทธิพลของเขาที่มีต่อแนวทางศิลปะของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตรกรรมทิวทัศน์ ยังคงลึกซึ้ง

โธมัส เกอร์ทิน เกิดที่เซาท์วาร์ก ลอนดอน เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1775 เป็นบุตรชายของผู้ผลิตพู่กันผู้มั่งคั่งเชื้อสายอูเกอโนต์ บิดาของเขาเสียชีวิตเมื่อเขายังเด็ก ความโน้มเอียงทางศิลปะของเกอร์ทินปรากฏขึ้นแต่เนิ่นๆ และเขาได้รับการสอนวาดภาพเบื้องต้นก่อนที่จะไปฝึกงานกับเอ็ดเวิร์ด เดย์ส จิตรกรสีน้ำภาพภูมิประเทศ ราวปี ค.ศ. 1789 แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับการฝึกงานที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเดย์สไม่ได้ชื่นชมความสามารถที่กำลังเบ่งบานของลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ในช่วงวัยรุ่น เกอร์ทินได้สร้างมิตรภาพที่ใกล้ชิดกับเจ.เอ็ม.ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์ ศิลปินหนุ่มทั้งสองมักจะได้รับการว่าจ้างให้ระบายสีภาพพิมพ์ร่วมกัน และร่วมมือกันในการคัดลอกผลงานให้กับ ดร. โธมัส มอนโร ผู้อุปถัมภ์คนสำคัญในยุคแรก เกอร์ทินเริ่มจัดแสดงผลงานที่ราชบัณฑิตยสถานในปี ค.ศ. 1794 โดยแสดงให้เห็นถึงทักษะของเขาในด้านสถาปัตยกรรมและภูมิประเทศ

ผลงานในยุคแรกของเกอร์ทินเป็นไปตามรูปแบบภาพภูมิประเทศในศตวรรษที่ 18 แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้พัฒนาแนวทางที่กล้าหาญ กว้างขวาง และโรแมนติกมากขึ้นสำหรับภาพทิวทัศน์ เขาได้เดินทางไปร่างภาพหลายครั้งทั่วสหราชอาณาจักร รวมถึงทางตอนเหนือของอังกฤษ เวลส์ตอนเหนือ และเวสต์คันทรี ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลอันอุดมสมบูรณ์สำหรับงานศิลปะของเขา การเดินทางเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดชุดสีน้ำใหม่ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือสีน้ำตาลโทนอุ่น สีเทาหินชนวน สีคราม และสีม่วง เขาได้รับการอุปถัมภ์จากผู้มีอิทธิพลเช่น เลดี้ซัทเธอร์แลนด์ และเซอร์จอร์จ โบมอนต์ และเป็นสมาชิกชั้นนำของ "เดอะบราเธอร์ส" ซึ่งเป็นสมาคมร่างภาพ เมื่อถึงปี ค.ศ. 1799 ชื่อเสียงของเขาก็เป็นที่ยอมรับ การใช้สีที่เข้มข้นและกว้างขวางอย่าง новаторانه ของเขา โดยละทิ้งวิธีการแรเงาด้วยสีเทาแบบดั้งเดิม ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคนิคที่สำคัญ "บ้านสีขาวที่เชลซี" (ค.ศ. 1800) เป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ซึ่งได้รับการชื่นชมในด้านความลึกของบรรยากาศ

ในปี ค.ศ. 1800 เกอร์ทินแต่งงานกับแมรี แอนน์ บอร์เร็ตต์ อย่างไรก็ตาม สุขภาพของเขาเริ่มทรุดโทรมลง ในปลายปี ค.ศ. 1801 เขาใช้เวลาห้าเดือนครึ่งในปารีส ในช่วงเวลานี้ เขาได้สร้างสรรค์ภาพวาดสีน้ำและภาพร่างดินสอ ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์หลังจากเขาเสียชีวิตในชื่อ "ยี่สิบทิวทัศน์ในปารีสและบริเวณโดยรอบ" เมื่อเขากลับมายังลอนดอนในปี ค.ศ. 1802 แม้จะมีสุขภาพที่ย่ำแย่ เกอร์ทินก็ได้เริ่มโครงการที่ทะเยอทะยาน นั่นคือ "ไอโดเมโทรโพลิส" ภาพพาโนรามา 360 องศาขนาดใหญ่ของลอนดอน ซึ่งมีความสูง 18 ฟุตและเส้นรอบวง 108 ฟุต ได้รับการจัดแสดงและได้รับเสียงชื่นชมจากสาธารณชน โดยได้รับการกล่าวขานถึงการแสดงภาพแสงและบรรยากาศของเมืองอย่างเป็นธรรมชาติ ความพยายามนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของเกอร์ทินที่จะเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างกว่าการอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม น่าเศร้าที่โธมัส เกอร์ทินเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1802 ในห้องทำงานวาดภาพของเขา ด้วยวัยเพียงยี่สิบเจ็ดปี สาเหตุอาจมาจากโรคหอบหืดหรือวัณโรค

รูปแบบศิลปะของเกอร์ทินเป็นการปฏิวัติ เขาเปลี่ยนจากการแสดงภาพภูมิประเทศที่แม่นยำไปสู่การตีความภาพทิวทัศน์ที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น เทคนิคของเขาเกี่ยวข้องกับการใช้สีน้ำโปร่งแสงที่กว้างและลื่นไหล ทำให้สีขาวของกระดาษช่วยเพิ่มความสว่าง เขาทดลองใช้ปากกา หมึกสีน้ำตาล และวานิชเพื่อให้ได้โทนสีที่เข้มข้นขึ้น การละทิ้งรายละเอียดที่พิถีพิถันเพื่อจับภาพอารมณ์ แสง และผลกระทบของบรรยากาศนี้เป็นศูนย์กลางของขบวนการโรแมนติกที่กำลังเฟื่องฟู นวัตกรรมทางเทคนิคของเขา เช่น การใช้สีโดยตรงโดยไม่ต้องรองพื้นด้วยสีเอกรงค์สีเทา มีส่วนสำคัญในการสร้างสถานะของสีน้ำในฐานะสื่ออิสระที่แสดงออกได้ เจ.เอ็ม.ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์เคยกล่าวไว้อย่างโด่งดังว่า "หากทอม เกอร์ทินยังมีชีวิตอยู่ ฉันคงอดตาย" ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่ของเกอร์ทิน แม้ว่าอาชีพการงานของเขาจะสั้น แต่ผลงานของโธมัส เกอร์ทินที่มีต่อศิลปะของอังกฤษนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยปูทางให้กับจิตรกรสีน้ำและจิตรกรภาพทิวทัศน์ในอนาคต